Nextone เครื่องช่วยฟังดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ให้คำปรึกษาฟรี
ตรวจหูออนไลน์ฟรี
nextone สินค้นทั้งหมด
ทดความเครื่องช่วยฟัง
ปรึกษาตรวจหู
nextoneตรวจการได้ยิน
ระดับการบกพร่องการได้ยิน

เครื่องช่วยฟังและเครื่องช่วยฟังดิจิตอล ที่มีการออกแบบและรองรับความปลอดภัยโดยผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกเครื่องช่วยฟังและเครื่องช่วยฟังดิจิตอล เราจะเลือกจากการสูญเสียการได้ยินของผู้สูญเสียการได้ยิน เช่น เคื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงอายุที่หูตึง ซึ้งระดับสูญเสียการได้ยินจะแบบออกเป็น หูตึงน้อย หูตึงปานกลาง หูตึงมาก และ หูตึงรุนแรง และตัวเครื่องช่วยฟังจะมีอยู่ด้วยได้ 3 ประเภท คือ แบบคล้องหลังหู แบบใส่ในช่องหู และแบบพกพา โดยผู้ที่สูญเสียการได้ยิน น้อย - ปานกลาง จะสามารถใช้ได้ แบบใส่ในช่องหูได้ เพื่อปกปิดไม่ให้เห็นว่าใส่เครื่องช่วยฟัง ส่วนผู้ที่สูญเสียการได้ยิน มาก - รุนแรง จะใช้รุนที่ดังขึ้น

สินค้าขายดี
เครื่องช่วยฟัง vertical CIC SP
(ราคาปกติ 26,580 บาท)
7,890 บาท
รายละเอียด
เครื่องช่วยฟัง zircon bte
(ราคาปกติ 28,590 บาท)
10,900 บาท
รายละเอียด
เครื่องช่วยฟัง oregon bte
(ราคาปกติ 59,390 บาท)
20,900 บาท
รายละเอียด
เครื่องช่วยฟัง oregon cic
(ราคาปกติ 59,390 บาท)
20,900 บาท
รายละเอียด
ดูรุ่นทั้งหมด
เครื่องช่วยฟังดิจิตอล ราคาเครื่องช่วยฟังดิจิตอล ปุ่ม
ตรวจการได้ยิน ปุ่ม
เครื่องช่วยฟังแบบพิมพ์หู ปุ่ม
อุปกรณ์เสริมสำหรับเครื่องช่วยฟัง ปุ่ม
ศูนย์เครื่องช่วยฟังครบวงจร
ตรวจหูโดยผู้เชี่ยวชาญ
การันตีคุณภาพ
รับชำระบัตรเครดิต

การบริการที่เหนือกว่าของ Nextone

  • บริการตรวจหู และวิเคราะห์ทุกรายละเอียดการได้ยินโดยนักโสตผู้เชี่ยวชาญ ให้ได้ค่าที่ถูกต้องแม่นยำ ด้วยประสบการณ์ของเรา ทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้รับเครื่องช่วยฟังที่ดีที่สุด
  • ทางร้าน Nextone มีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องช่วยฟัง และอาการสูญเสียการได้ยินโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด
  • สินค้าทุกชิ้นของร้าน ผลิตขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล โดยมีการรับประกันเครื่องนาน 1 ปี หากพบว่าเครื่องมีปัญหาสามารถเปลี่ยนและรับเครื่องใหม่ได้ทันทีภายใน 7 วัน
  • บริการผ่อนชำระ เพื่อให้คุณขับเคลื่อนไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า โดยสามารถแบ่งผ่อนชำระค่าใช้จ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุดถึง 6 เดือน
  • ในกรณีที่ลูกค้ามีค่าผลตรวจการสูญเสียการได้ยินอยู่แล้ว และต้องการเครื่องช่วยฟังของร้าน Nextone เรามีบริการส่งด่วนครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมไปถึงบริการเก็บเงินปลายทางด้วย

4 ขั้นตอน เพื่อการได้ยินที่ชัดเจน

วิธีตรวจหูขั้นที่1
1.พบผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์ใกล้บ้านท่าน
วิธีตรวจหูขั้นที่2
2.บอกอาการของท่าน
วิธีตรวจหูขั้นที่3
3.ทำการตรวจวัดระดับการได้ยิน
วิธีตรวจหูขั้นที่4
4.เลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสม
มาตรวจหูกับเรา
REVIEW จากผู้ใช้บริการ
“ Perfect ประทับใจมาก ประทับใจสุดๆ  ยอมเยี่ยมไปเลยครับ ”
สมบัติ เมทะนีดารา - นักแสดง

มาตรวจหูกับเรา
REVIEW จากผู้ใช้บริการ
“ ชัดเจนเลยครับ สามารถรับรู้คำแต่ละคำที่เขาสื่อสารมาได้ครับ เสียงชัดมากเลยครับ ”
คุณกฤษณพล สีสง่า

มาตรวจหูกับเรา
REVIEW จากผู้ใช้บริการ
“ ร้านให้บริการดี คุณหมอหยกเก่งน่ารัก แนะนำและให้บริการดีมาก เครื่องคุณภาพ เป็นเครื่องนอก ราคาจับต้องได้แนะนำเลยค่ะ ”
Ploypapat Thanayosbenyawat

มาตรวจหูกับเรา
REVIEW จากผู้ใช้บริการ
“ การใช้ชีวิตดีขึ้นกว่าเก่าค่ะ ดีใจที่เวลาคุยกับลูก ไม่ต้องตะโกนอีกต่อไปแล้ว เครื่องช่วยฟังชัดเจน มากค่ะ ”
คุณสอิ้ง วิมลธรรม

มาตรวจหูกับเรา
REVIEW จากผู้ใช้บริการ
“ เครื่องช่วยฟังชัดเจนค่ะ ดีเลย ใส่เครื่องแล้วได้ยิน ชัดเจน เสียงชัดมาก ”
คุณวันเพ็ญ วรุณโชติกุล

กรอกเพื่อนัดตรวจ
ชื่อ*
นามสกุล*
หมายเลขโทรศัพท์*
อีเมล
วันที่นัด
เลือกบริการ
*จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับค่ะ

บทความ

เสียงที่เปลี่ยนไป การตรวจสอบและปรับปรุงการได้ยินของคุณ

การเปลี่ยนแปลงของการได้ยิน การได้ยินเสียงที่ชัดเจนและสมบูรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน การได้ยินที่ดีช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับผู้อื่น รับรู้เสียงเตือนภัย และเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีหรือเสียงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การได้ยินของเรามีแนวโน้มที่จะเสื่อมลงตามวัย หรือได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น การสัมผัสเสียงดัง การติดเชื้อในหู หรือการใช้ยาบางชนิด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้การได้ยินลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การรู้จักการตรวจสอบและปรับปรุงการได้ยินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรให้ความสนใจ การตรวจสอบการได้ยิน การตรวจสอบและปรับปรุงการได้ยินของคุณ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของปัญหาที่เราพบ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตตัวเองว่ามีปัญหาในการได้ยินหรือไม่ เช่น การต้องเพิ่มระดับเสียงของโทรทัศน์หรือวิทยุ การไม่ได้ยินเสียงพูดในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน หรือการรู้สึกว่ามีเสียงซ่าในหู นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพหูประจำปีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการได้ยิน แพทย์สามารถใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการวัดความสามารถในการได้ยิน และวินิจฉัยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ สัญญาณเตือนของปัญหาการได้ยิน สัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงปัญหาการได้ยินมีหลายอย่าง เช่น การได้ยินเสียงในหู (หูอื้อ) การรู้สึกเจ็บปวดหรือคันในหู การได้ยินเสียงไม่ชัดเจน หรือการสังเกตว่าตนเองมีปัญหาในการฟังเสียงพูดของผู้อื่น หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบและรักษา การละเลยปัญหาการได้ยินอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง และอาจนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร ดังนั้นการใส่ใจและสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ การปรับปรุงการได้ยิน การปรับปรุงการได้ยินสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับของปัญหาที่เราเผชิญ หากการได้ยินลดลงเนื่องจากการสัมผัสเสียงดัง การหลีกเลี่ยงเสียงดังและการใช้ที่อุดหูสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมสภาพของการได้ยินได้ นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด จะช่วยให้การได้ยินดีขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินถาวร การใช้อุปกรณ์ช่วยฟังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปรับปรุงการได้ยิน อุปกรณ์เหล่านี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล และช่วยให้การได้ยินเสียงกลับมาชัดเจนขึ้น การใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง การใช้อุปกรณ์ช่วยฟังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงการได้ยินสำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินถาวร อุปกรณ์ช่วยฟังมีหลายประเภทและหลายรุ่น แต่ละรุ่นมีคุณสมบัติและฟังก์ชันที่แตกต่างกันไป เช่น การปรับระดับเสียงอัตโนมัติ การตัดเสียงรบกวน และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ การเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยฟังที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ควรเลือกผู้จำหน่ายที่มีบริการหลังการขายที่ดี และมีความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งอุปกรณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ช่วยฟังที่เลือกใช้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบำบัดทางเสียง การบำบัดทางเสียงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยปรับปรุงการได้ยิน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหูอื้อหูตึงหรือการได้ยินเสียงซ่าในหู การบำบัดทางเสียงเป็นการฝึกหูให้ปรับตัวกับการได้ยินใหม่ๆ ผ่านการฟังเสียงที่มีความถี่และระดับเสียงต่างๆ การฝึกหัดนี้อาจทำให้การได้ยินดีขึ้นและลดอาการหูอื้อ นอกจากนี้ การบำบัดทางเสียงยังสามารถช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับตัวกับการได้ยินใหม่ได้เร็วขึ้น การดูแลสุขภาพหูในชีวิตประจำวัน การดูแลสุขภาพหูในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สำลีปั่นหูหรือวัตถุแหลมเข้าไปในหู เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและการติดเชื้อ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน และใช้ที่อุดหูหรือหูฟังลดเสียงเมื่อจำเป็น การรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด จะช่วยให้การได้ยินดีขึ้น สุขภาพที่ดีทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการได้ยิน การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำ การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรารับรู้ถึงปัญหาการได้ยินในระยะแรกเริ่ม และสามารถรักษาได้ทันท่วงที การตรวจสุขภาพหูสามารถทำได้ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก แพทย์สามารถใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการวัดความสามารถในการได้ยิน และวินิจฉัยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรักษาปัญหาการได้ยินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้ยินเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การตรวจสอบและปรับปรุงการได้ยินเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ การทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธี การป้องกันการสัมผัสเสียงดัง การรักษาสุขภาพโดยรวม การใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง และการบำบัดทางเสียง เป็นวิธีที่ช่วยให้การได้ยินของเรายังคงดีตลอดชีวิต การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรารับรู้ถึงปัญหาการได้ยินในระยะแรกเริ่ม และสามารถรักษาได้ทันท่วงที หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพหูและการได้ยินของคุณ

pic

หูตึงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทุกวัยและเกิดจากหลายปัจจัย การทราบถึงสาเหตุของหูตึงสามารถช่วยให้เราเข้าใจและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุหลักของหูตึงได้แก่ อายุที่มากขึ้น การสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน การติดเชื้อที่หู การใช้ยาบางชนิด และปัจจัยทางพันธุกรรม เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ประสาทหูย่อมเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ส่วนการสัมผัสเสียงดัง เช่น การฟังเพลงด้วยหูฟังที่ดังเกินไป หรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง สามารถทำให้เซลล์ประสาทหูเสียหายได้ การติดเชื้อที่หู เช่น หูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคที่เกี่ยวกับการได้ยิน เช่น โรคเมนิแยร์ (Meniere's Disease) ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหูตึงได้ นอกจากนี้ ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะบางประเภท หรือยารักษามะเร็ง มีผลข้างเคียงที่ทำให้หูตึง และการสืบทอดทางพันธุกรรมก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หูตึง การป้องกันหูตึง การป้องกันหูตึงสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงเสียงดัง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังนานๆ หากจำเป็นควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น ที่อุดหู หรือหูฟังกันเสียง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้หูฟังในระดับเสียงที่ดังเกินไป การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของการได้ยิน หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อหู หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อการได้ยิน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่นหรือวิธีการป้องกันผลกระทบดังกล่าว และการตรวจสุขภาพหูเป็นประจำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ทราบถึงปัญหาหูตึงตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และสามารถรักษาได้ทันท่วงที การรักษาหูตึงมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ การใช้เครื่องช่วยฟังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายเสียงเพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาหูตึงสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น มีหลายประเภทให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น เครื่องช่วยฟังแบบสวมในหู แบบสวมหลังหู หรือแบบฝังในกระดูก หากหูตึงเกิดจากการติดเชื้อหรือโรคบางชนิด การรักษาทางการแพทย์ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ การผ่าตัด หรือการทำกายภาพบำบัด อาจช่วยบรรเทาอาการได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีปัญหาหูตึงรุนแรงที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ การฝังเครื่องกระตุ้นประสาทหู (Cochlear Implant) อาจเป็นทางเลือกที่ดี เครื่องกระตุ้นประสาทหูจะส่งสัญญาณเสียงโดยตรงไปยังเส้นประสาทหู ทำให้ผู้ป่วยสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น การฝึกฝนการได้ยิน เช่น การเรียนรู้การอ่านริมฝีปาก หรือการใช้ภาษามือ อาจช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาหูตึงสามารถสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีช่วยการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ที่มีระบบขยายเสียง หรืออุปกรณ์ช่วยฟังต่างๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยได้ การดูแลสุขภาพหู การดูแลสุขภาพหูเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันและรักษาหูตึงได้ ควรทำความสะอาดหูด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการใช้สำลีพันปลายไม้หรือวัตถุอื่นๆ เข้าทำความสะอาดในหู ควรใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณรอบหูและหลังใบหู การใช้วัตถุแปลกปลอม เช่น หูฟังที่ไม่สะอาด หรือการใส่วัตถุอื่นๆ เข้าไปในหู อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและอาการหูตึงได้ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพหู การป้องกันและรักษาหูตึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุของหูตึงและการปฏิบัติตามวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง จะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพหูและการได้ยินของเราให้ดีตลอดไป นอกจากนี้ การรักษาที่เหมาะสมและทันเวลาเมื่อเกิดปัญหาหูตึง จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นอย่างมาก หากคุณหรือคนในครอบครัวมีปัญหาการได้ยิน อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินเพื่อขอคำแนะนำและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพหูไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันหูตึง แต่ยังเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำ การปฏิบัติตามวิธีการป้องกันหูตึง และการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพหูและการได้ยินของเราให้ดีตลอดไป นอกจากนี้ การให้ความรู้และการส่งเสริมการดูแลสุขภาพหูในชุมชน จะช่วยลดปัญหาหูตึงในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

pic

เครื่องช่วยฟังต้องใส่กี่ข้าง การตัดสินใจว่าจะใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวหรือสองข้างนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระดับการสูญเสียการได้ยิน ความสะดวกสบาย และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อดีข้อเสียของการใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวและสองข้าง และแนวทางในการตัดสินใจเลือกใช้ที่เหมาะสมกับคุณ การใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียว ข้อดีของการใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียว ประหยัดค่าใช้จ่าย: การซื้อเครื่องช่วยฟังเพียงข้างเดียวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ง่ายต่อการใช้งาน: การดูแลรักษาและการปรับแต่งเครื่องช่วยฟังเพียงข้างเดียวจะสะดวกและง่ายกว่า ข้อเสียของการใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียว การรับเสียงไม่สมดุล: การใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวอาจทำให้การรับเสียงไม่สมดุล โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีเสียงรบกวนมาก การทำงานของสมอง: การได้ยินจากหูข้างเดียวอาจทำให้สมองทำงานหนักขึ้นในการประมวลผลเสียง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเร็วขึ้น ข้อดีของการใส่เครื่องช่วยฟังสองข้าง การรับเสียงที่สมดุล: การใส่เครื่องช่วยฟังสองข้างจะช่วยให้การรับเสียงสมดุลและชัดเจนขึ้น การระบุตำแหน่งของเสียง: เครื่องช่วยฟังสองข้างช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งของเสียงได้ดีกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ในการทำกิจกรรมประจำวันและการเข้าสังคม ลดความเหนื่อยล้าของสมอง: การใช้เครื่องช่วยฟังสองข้างช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมองในการประมวลผลเสียง ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น การใส่เครื่องช่วยฟังสองข้าง ข้อเสียของการใส่เครื่องช่วยฟังสองข้าง ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น: การซื้อและดูแลรักษาเครื่องช่วยฟังสองข้างจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ข้างเดียว ความยุ่งยากในการดูแลรักษา: การดูแลรักษาและการปรับแต่งเครื่องช่วยฟังสองข้างอาจต้องใช้เวลามากขึ้นและซับซ้อนกว่า ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกใส่เครื่องช่วยฟัง ระดับการสูญเสียการได้ยิน หากคุณมีการสูญเสียการได้ยินในระดับเดียวกันทั้งสองข้าง การใส่เครื่องช่วยฟังสองข้างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า หากคุณมีการสูญเสียการได้ยินในระดับเบาถึงปานกลางในข้างเดียว การใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวอาจเพียงพอ ความสะดวกสบายและความต้องการส่วนบุคคล พิจารณาความสะดวกสบายในการใช้งานและการดูแลรักษา รวมถึงความต้องการในการฟังเสียงที่ชัดเจนและสมดุล คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน (audiologist) เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพการได้ยินของคุณ การตัดสินใจว่าจะใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวหรือสองข้างนั้นขึ้นอยู่กับระดับการสูญเสียการได้ยิน เครื่องช่วยฟังต้องใส่กี่ข้าง ความสะดวกสบาย และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าการใส่เครื่องช่วยฟังสองข้างจะมีข้อดีในการรับเสียงที่สมดุลและชัดเจน แต่การใส่เครื่องช่วยฟังข้างเดียวก็อาจเพียงพอสำหรับบางคน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและการทดลองใช้เครื่องช่วยฟังจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

pic

เครื่องช่วยฟังแบบไหนดี การเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับความต้องการและระดับการสูญเสียการได้ยินเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเครื่องช่วยฟังที่ดีจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถกลับมาได้ยินเสียงโลกได้อย่างชัดเจน บทความนี้จะช่วยคุณสำรวจประเภทของเครื่องช่วยฟังและวิธีการเลือกที่เหมาะสมกับคุณ ประเภทของเครื่องช่วยฟัง เครื่องช่วยฟังแบบไหนดี เครื่องช่วยฟังมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป ดังนี้   1.เครื่องช่วยฟังแบบพกพา (Pocket Hearing Aids) ข้อดี: ราคาย่อมเยา ใช้งานง่าย ข้อเสีย: ขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในที่สาธารณะ 2.เครื่องช่วยฟังแบบติดหู (Behind-the-Ear, BTE) ข้อดี: ให้คุณภาพเสียงที่ดี มีความทนทาน ปรับแต่งได้หลากหลาย ข้อเสีย: ขนาดใหญ่และมองเห็นได้ชัด 3.เครื่องช่วยฟังแบบในช่องหู (In-the-Ear, ITE) ข้อดี: ขนาดเล็ก สวมใส่สบาย ไม่มองเห็นชัด ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าแบบติดหู ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยินรุนแรง 4.เครื่องช่วยฟังแบบในช่องหูส่วนลึก (Completely-in-the-Canal, CIC) ข้อดี: ขนาดเล็กที่สุด สวมใส่สบายมากที่สุด ไม่มองเห็นชัด ข้อเสีย: ราคาแพงมาก และไม่เหมาะสำหรับการสูญเสียการได้ยินรุนแรง วิธีการเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสม ตรวจการได้ยิน: การตรวจการได้ยินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน (audiologist) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้ทราบถึงระดับและประเภทของการสูญเสียการได้ยิน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเลือกเครื่องช่วยฟัง พิจารณาความต้องการเฉพาะบุคคล: เลือกเครื่องช่วยฟังที่ตรงกับความต้องการของคุณ เช่น ขนาด ความสบายในการสวมใส่ และความสามารถในการปรับแต่งเสียง ทดลองใช้งาน: หลายๆ ร้านค้ามีบริการให้ทดลองใช้เครื่องช่วยฟังก่อนการตัดสินใจซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องช่วยฟังนั้นเหมาะสมกับคุณ พิจารณาคุณภาพเสียง: เลือกเครื่องช่วยฟังที่มีคุณภาพเสียงดี สามารถปรับแต่งได้ตามสภาพแวดล้อมและการได้ยินของคุณ ตรวจสอบคุณสมบัติพิเศษ: เครื่องช่วยฟังบางรุ่นมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การเชื่อมต่อบลูทูธ การปรับแต่งเสียงอัตโนมัติ หรือฟังก์ชั่นลดเสียงรบกวน ความทนทานและการรับประกัน: เลือกเครื่องช่วยฟังที่มีความทนทานและมีการรับประกันที่ดี เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการดูแลและซ่อมบำรุงเมื่อจำเป็น คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและเลือกเครื่องช่วยฟังที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องช่วยฟังประเภทต่างๆ และคุณสมบัติเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ งบประมาณ: กำหนดงบประมาณในการซื้อเครื่องช่วยฟังและเลือกที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับงบประมาณของคุณ การเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความระมัดระวังและการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การตรวจการได้ยิน การทดลองใช้ และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณได้รับเครื่องช่วยฟังที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถกลับมาได้ยินเสียงโลกได้อย่างชัดเจนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

pic

ปัญหาเกี่ยวกับหูตึง เป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการได้ยินและคุณภาพชีวิตของผู้ที่ประสบปัญหาได้อย่างมาก การได้ยินเสียงเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารและการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับหูตึง ย่อมส่งผลต่อความสะดวกในการใช้ชีวิตและการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และการรักษาปัญหาหูตึงอย่างละเอียด สาเหตุของหูตึง การเกิดหูตึงสามารถมีสาเหตุหลากหลาย โดยสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ หูตึงชนิดนำเสียง (Conductive Hearing Loss) และหูตึงชนิดประสาท (Sensorineural Hearing Loss) หูตึงชนิดนำเสียง: ขี้หูอุดตัน: ขี้หูที่สะสมมากเกินไปอาจกีดขวางการส่งผ่านเสียงจากหูชั้นนอกไปยังหูชั้นใน การติดเชื้อในหู: การติดเชื้อในหูชั้นกลาง (Otitis Media) สามารถทำให้เกิดการอักเสบและของเหลวสะสมในหู ความผิดปกติของกระดูกหู: การเจริญเติบโตผิดปกติของกระดูกในหูชั้นกลาง เช่น โรค Otosclerosis ซึ่งทำให้การสั่นสะเทือนของเสียงผิดปกติ หูตึงชนิดประสาท: การเสื่อมของเซลล์ประสาทหู: เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในหูชั้นในซึ่งมักเกิดขึ้นตามอายุ การสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน: การสัมผัสกับเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง หรือการฟังเพลงเสียงดังผ่านหูฟัง การใช้ยาบางชนิด: ยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ Aminoglycoside สามารถทำลายเซลล์ประสาทในหู โรคทางพันธุกรรม: บางโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมสามารถทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินตั้งแต่กำเนิด อาการของหูตึง อาการของหูตึงสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและสาเหตุที่เกิดขึ้น อาการที่พบบ่อยได้แก่: การได้ยินเสียงเบาลง: ความสามารถในการได้ยินเสียงพูดหรือเสียงในชีวิตประจำวันลดลง ต้องการให้คนอื่นพูดเสียงดังขึ้น: มักขอให้ผู้อื่นพูดเสียงดังหรือชัดเจนมากขึ้น การฟังไม่ชัดในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน: การสื่อสารในสถานที่ที่มีเสียงพื้นหลังหรือเสียงรบกวนทำได้ยากขึ้น การได้ยินเสียงหวีดหรือหึ่งๆ ในหู (Tinnitus): บางคนอาจได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริงในหู ความรู้สึกไม่สบายใจหรือหลีกเลี่ยงการสนทนา: เนื่องจากความยากลำบากในการฟังและเข้าใจการสนทนา วิธีการป้องกันปัญหาหูตึง การป้องกันปัญหาหูตึงสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามวิธีการดังต่อไปนี้: หลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดัง: หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรใช้ที่ครอบหูหรือที่อุดหู รักษาความสะอาดของหู: หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ก้านสำลี เพื่อทำความสะอาดหู ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ ตรวจสุขภาพหูเป็นประจำ: ควรตรวจสุขภาพหูและการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวหรือปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังการใช้ยา: ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อการได้ยิน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การป้องกันการติดเชื้อ: รักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่หู เช่น ไม่ใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น การวินิจฉัยปัญหาหูตึง ปัญหาเกี่ยวกับหูตึง การวินิจฉัยปัญหาหูตึงเริ่มจากการสอบถามประวัติสุขภาพและการตรวจร่างกายเบื้องต้น โดยแพทย์อาจทำการทดสอบการได้ยินและใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อตรวจหู การวินิจฉัยประกอบด้วย: การตรวจการได้ยิน (Audiometry Test): การทดสอบนี้ช่วยระบุระดับการได้ยินและความสามารถในการแยกแยะเสียงต่าง ๆ การตรวจหู (Otoscopy): แพทย์ใช้เครื่องมือ Otoscope เพื่อดูภายในหูและตรวจหาความผิดปกติ การทดสอบการทำงานของหูชั้นกลาง (Tympanometry): ช่วยประเมินการทำงานของหูชั้นกลางและตรวจหาการอักเสบหรือของเหลวในหู การสแกนภาพ (Imaging Tests): เช่น MRI หรือ CT scan เพื่อดูภาพของหูและเส้นประสาทในหู การรักษาปัญหาหูตึง การรักษาหูตึงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงและความรุนแรงของปัญหา การรักษาอาจรวมถึง: การรักษาทางการแพทย์: การขจัดขี้หู: ในกรณีที่เกิดจากการอุดตันของขี้หู แพทย์สามารถขจัดขี้หูออกได้อย่างปลอดภัย การรักษาการติดเชื้อ: การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาลดการอักเสบตามคำแนะนำของแพทย์ การผ่าตัด: สำหรับปัญหาที่เกี่ยวกับกระดูกในหูหรือการติดเชื้อที่รุนแรง การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือก การใช้เครื่องช่วยฟัง: เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aid): เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายเสียง ทำให้ผู้ที่มีปัญหาหูตึงสามารถได้ยินชัดเจนขึ้น การฝังเครื่องช่วยฟัง: เช่น Cochlear Implant สำหรับผู้ที่มีปัญหาประสาทหูเสื่อมรุนแรง การรักษาแบบบูรณาการ: การฝึกการฟัง: การใช้โปรแกรมฝึกการฟังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการได้ยิน การฟื้นฟูสมรรถภาพหู: การใช้เทคนิคการฟื้นฟูสมรรถภาพหู เช่น การฝึกอ่านริมฝีปาก ผลกระทบของหูตึงต่อชีวิตประจำวัน ปัญหาหูตึงสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันในหลายด้าน เช่น การสื่อสาร: ผู้ที่มีปัญหาหูตึงอาจพบปัญหาในการฟังและทำความเข้าใจบทสนทนา ทำให้การสื่อสารกับผู้อื่นยากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล: ปัญหาการสื่อสารอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความเครียดในความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน การทำงาน: ผู้ที่มีปัญหาหูตึงอาจพบอุปสรรคในการทำงาน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้การฟังเป็นหลัก สุขภาพจิต: ปัญหาหูตึงสามารถทำให้เกิดความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้า เนื่องจากการแยกตัวจากสังคม การรับมือกับปัญหาหูตึงในชีวิตประจำวัน การรับมือกับปัญหาหูตึงในชีวิตประจำวันสามารถ

เครื่องช่วยฟังผ่อนนาน6เดือน เครื่องรูดบัตร
ร้านเครื่องข่วยฟังnextone
CALL CENTER เปิดบริการ พุธ-อาทิตย์ ( 9.00 น. - 18.00 น.) ปิดทุกวันจันทร์และอังคาร

บริการให้คำปรึกษา / โทรนัดหมายล่วงหน้า